วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประวัติ Nissan X-trail

รุ่นที่ 1 (พ.ศ. 2544-2550)



                                                        นิสสัน เอ็กซ์เทรล รุ่นที่ 1 เริ่มผลิตเมื่อปี พ.ศ. 2544 ถูกสร้างขึ้นบนตัวถัง FF-MS Platform ร่วมกับ Nissan Primera P12 Nissan Sunny Neo และ Nissan Almera เครื่องยนต์จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 และ 2.5 ลิตร และยังมีเทอร์โบในรุ่น 2.0 ลิตรเฉพาะที่ญี่ปุ่นเท่านั้น และเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร ระบบเกียร์เป็นเกียร์ธรรมดา 5 และ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เป็นรถที่ประสบความสำเร็จในแทบทุกประเทศที่เข้าไปเปิดตัว ยกเว้นประเทศไทย

ในประเทศไทย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือสยามกลการในยุคนั้น มีดำริจะนำ X-Trail เข้ามาขายตั้งแต่ช่วงเปิดตัวใหม่ๆ เมื่อปี พ.ศ. 2544 แต่รถยนต์รุ่นนี้ก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่โดนหางเลขจากความขัดแย้งระหว่างสยามกล การ ซึ่งมีคนตระกูลพรประภาถือหุ้นใหญ่ และบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น โดยทางฝั่งไทยได้ขอรถรุ่นนี้มาทำตลาด แต่บริษัทแม่ก็ไม่ยอม จนกระทั่งนิสสันญี่ปุ่นเข้ามาซื้อหุ้นและลงทุนเข้ามาเปิดกิจการผลิต นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ Nissan ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแทนสยามกลการซึ่งกลายเป็นดีลเลอร์รายหนึ่งไป ประกอบกับที่อินโดนีเซียขึ้นไลน์ประกอบเอ็กซ์เทรลรุ่น Minorchange แล้ว เอ็กซ์เทรลก็ได้มีโอกาสเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2548 แต่เนื่องจากเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันเบนซินในไทย และตลาดโลกพุ่งทะยานขึ้น ทำให้ความนิยมในรถ SUV เริ่มลดลงไป แต่ในเมื่อรถก็ถูกสั่งนำเข้ามาจากอินโดนีเซียเรียบร้อยแล้วจึงต้องเดินหน้า ทำตลาดต่อไป และการที่รถประกอบในอินโดนีเซีย และประสบความสำเร็จในตลาดโลก ก็ถือเป็นเครื่องตอกย้ำความสำเร็จ แต่เมื่อมียอดขายที่น้อยมาก ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ทาง Nissan ถอดใจกับเอ็กซ์เทรลไป

รุ่นที่ 2 (พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2556)

 
 

นิสสัน เอ็กซ์เทรล รุ่นที่ 2 เริ่มผลิตเมื่อปี พ.ศ. 2550 ถูกสร้างขึ้นบนตัวถัง C-Platform ร่วมกับ Nissan LaFesta Nissan Qashqai และ Nissan Rogue เผยโฉมครั้งแรกในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ ปี 2007 ก่อนจะออกสู่ตลาดญี่ปุ่นเพียงหลังจากนั้นไม่กี่เดือน และยังคงประสบความสำเร็จในตลาดโลกเช่นเดิม เพราะนิสสันได้ผลิตและส่งมอบเอ็กซ์เทรลแล้วถึง 140,000 คัน เฉพาะในญี่ปุ่นมียอดขายกว่า 27,000 คัน และครองตำแหน่ง SUV ขายดีในญี่ปุ่นแล้ว 2 ปีติดต่อกัน รุ่นนี้มีเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 และ 2.5 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ระบบเกียร์เป็นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ CVT
ในประเทศไทย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำเอ็กซ์เทรลกลับมาเปิดตัวอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2552 ยังคงสั่งนำเข้ามาจากอินโดนีเซียเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าการกลับมาในครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อเป็นผู้เล่นตัวหลักในตลาด เหมือนในอดีต เพียงแค่อุดช่องว่างทางการตลาดของนิสสันเท่านั้น รุ่นที่นำเข้ามาขายในประเทศไทยจะเป็นรุ่น 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ CVT และขับเคลื่อนล้อหน้า เนื่องจากกลุ่มที่ซื้อรถ SUV ในไทยมักไม่ค่อยมีทางเลือกมากนัก โดยเฉพาะกลุ่มที่ซื้อแต่ไม่ได้นำไปลุยป่าลุยทุ่งมากนัก ใช้งานในเมืองเป็นหลัก น่าจะเพียงพอแล้ว อีกทั้งที่ผ่านมา ยอดขายในไทยและอินโดนีเซียจะขายรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าได้ดีกว่ารุ่นขับ เคลื่อน 4 ล้อ ดังนั้นจึงไม่ต้องจำเป็นที่จะนำเข้ารุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเข้ามา ต่อมาได้มีการ Minorchange ในปี พ.ศ. 2554 แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากออพชันของรถน้อย และภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ยังไม่เด่นชัดนัก แต่ในรุ่นต่อไปซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในปี พ.ศ. 2557 นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) มีแผนจะนำเอ็กซ์เทรลมาประกอบในประเทศไทย แน่นอนว่าจะเป็น SUV แบบ 7 ที่นั่ง และเป็นการกลับมาแข่งขันกับคู่แข่งระดับแถวหน้าอีกครั้ง ทำให้ CR-V CX-5 และ Captiva หนาวได้เลย

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Honda Accord Hybrid

Honda Accord Hybrid

ตลาดรถยนต์นั่งขนาดใหญ่หัวใจเครื่องยนต์ลูกผสมเครื่องยนต์เบนซิน-มอเตอร์ไฟฟ้า ที่รู้จักกันว่าระบบไฮบริดนั้นมีความคึกคักขึ้นมาทันที เมื่อเจ้าตลาดรถยนต์นั่งในปีที่ผ่านมาอย่าง ฮอนด้า ตัดสินใจส่งสินค้าหลักอย่าง 2014 ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด เข้าตะลุยศึกในครั้งนี้
แม้สนนราคาจะเคาะกันมาถึง 1.899 ในรุ่นท๊อป ซึ่งแน่นอนว่าแพงกว่าคู่แข่งโดยตรงอย่างโตโยต้า คัมรี่ ไฮบริดอยู่ราว 2 หมื่นบาท และในรุ่นล่างก็ยังแพงกว่าเล็กน้อย แต่ดูเหมือนทีมงานของฮอนด้าเองก็ค่อนข้างมั่นใจในการยกทัพเข้าตีเมืองไฮบริดในครั้งนี้

เพราะไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไฮบริดคือหัวใจหลักของผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นในเซกเมนต์รถยนต์นั่งขนาดใหญ่ที่เปิดตัวคัมรี่มาก่อนใครเพื่อน แถมยังมีตัวล่างอย่างพริอุสเอาไว้แย่งชิงลูกค้าที่มีเงินล้านต้น ๆ ไปอีกต่างหาก
ไม่พูดพล่ามทำเพลงใดใด ทีมงานวิศวกรของฮอนด้าประกาศชัดเจนว่าจะใช้เทคโนโลยีไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุดที่ทำการพัฒนามาและกว่าจะอธิบายการทำงานให้เข้าใจกันทั้งหมดก็เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะทีมงานของฮอนด้าฟันธงว่า เทคโนโลยีของคู่แข่งนั้น อยู่ระหว่างกลางเทคโนโลยีรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ของฮอนด้าเท่านั้น
นั่นก็หมายความว่าในการมาเปิดตลาดในประเทศไทยครั้งนี้ ฮอนด้าไม่ได้มาในฐานะผู้ตาม แต่มาในฐานะผู้นำเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนามาภายใต้ชื่อ i-MMD ซึ่งเดี๋ยวจะอธิบายความเลิศล้ำให้ฟังที่ด้านล่างตรงส่วนของเครื่องยนต์อีกครั้ง
ฮอนด้าบอกว่ารถคันนี้คือรถที่เพียบพร้อมด้วยภาพลักษณ์แห่งความหรูหรา ความสะดวกสบายเหนือระดับและการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ทั้งในเรื่องของสมรรถนะและการประหยัดเชื้อเพลิงที่เป็นเยี่ยม เรียกว่าเหนือกว่าคู่แข่งในท้องตลาดอย่างเห็นได้ชัด
รูปลักษณ์คุ้นตา แอคคอร์ดเคลือบสีฟ้า ดูล้ำยุค
อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า แอคคอร์ด ไฮบริดนั้น เป็นเพียงอีกอนุพันธ์หนึ่งของฮอนด้า แอคคอร์ดที่จำหน่ายอยู่แล้วในปัจจุบัน มองในภาพรวม ๆ ของรถก็ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ตัวรถยังให้บรรยากาศอบอุ่นชวนขับขี่เหมือนที่ผ่าน ๆ มา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฮอนด้ามีการเพิ่มอะไรหลาย ๆ อย่างเข้าไปในรถคันนี้ บอกก่อนว่าอุปกรณ์ทั้งหมดที่กำลังจะพูดถึงคือในรุ่นแอคคอร์ด ไฮบริด เทค ซึ่งเป็นรุ่นท๊อปเท่านั้นนะครับ ในรุ่นธรรมดาอุปกรณ์และการตกแต่งจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย
ไฟฟหน้าแบบแอลอีดีตกแต่งด้วยกรอบสีฟ้า ไฟท้ายแบบแอลอีดี และกระจังหน้าดีไซน์พิเศษตกแต่งด้วยเลนส์สีเคลียร์บลู ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นอุปกรณ์ตกแต่งที่เตรียมโดนก๊อปปี้ในไม่ช้า มาพร้อมล้ออัลลลอย 18 นิ้วและเสาอากาศแบบครีบฉลาม
ระบบไฟหน้าแบบปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติ กระจกมองข้างด้านซ้ายปรับองศาลงต่ำอัตโนมัติเมื่อถอย ซึ่งเราคุ้นเคยดีกับรถยนต์หรูหราจากฟากยุโรป ซันรูฟแบบเปิดปิดด้วยไฟฟ้า สัญลักษณ์ไฮบริดที่ด้านข้างเหนือซุ้มล้อหน้าและที่ฝากระโปรงหลัง
2014_Honda_Accord_Hybrid_11
แม้จะติดตั้งแบตเตอรี่ที่พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง แต่รถยนต์คันนี้ก็ยังให้พื้นที่เก็บสัมภาระได้มากถึง 415 ลิตร โดยการติดตั้งแบตเตอรี่ที่ด้านหลังนี้ ยังช่วยป้องกันในเรื่องของความชื้นหรือการเปียกของแบตเตอรี่ในกรณีที่ขับรถลุยน้ำด้วยเช่นกัน
พื้นที่เก็บของที่มากขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการถอดยางอะไหล่ออกไป แล้วแทนที่ด้วยชุดซ่อมยางที่ฮอนด้าบอกว่าใช่้งานได้อย่างสะดวกในกรณีฉุกเฉิน แต่แน่นอนว่าหากเกิดอุบัติเหตุรุนแรงก็คงต้องรอรถลากมาช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว
2014_Honda_Accord_Hybrid_28
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังเทคโนโลยีใหม่ น่าใช้เกินใคร
การทำงานของเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้าและระบบส่งกำลัง กลายเป็นหัวข้อหลักที่มีการลงลึกในรายละเอียดมากที่สุดหลังการขับขี่เสร็จสิ้นลง แน่นอนว่าสเปกที่ฮอนด้าระบุไว้ว่าเครื่องยนต์แอทคินสัน 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ อี-ซีวีที ให้กำลังสูงสุดเมื่อทำงานร่วมกันที่ 199 แรงม้า อาจจะฟังแล้วไม่น่าแปลกใจ
แต่อันนี้ต้องขออธิบายกันแบบละเอียดสักเล็กน้อย เพราะจริง ๆ แล้วรูปแบบการทำงานของรถคันนี้ออกจะแปลกประหลาดไปจากระบบทั่วไปเล็กน้อย จนทำให้คำว่าเทคโนโลยีนี้เหนือชั้นและล้ำหน้ากว่าคู่แข่ง ดูไม่ค่อยจะเกินจากความเป็นจริงไปนัก
อย่างที่รู้กันว่าเทคโนโลยีเอิร์ธดรีมที่นำมาใช้ในการพัฒนารถยนต์รุ่นนี้คือแนวคิดในการสร้างรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยไม่ลดทอนสมรรถนะในการขับขี่ และได้กลายมาเป็นรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนรถยนต์เป็นหลักคันนี้ออกมา
2014_Honda_Accord_Hybrid_43
ใช่แล้วครับ อ่านไม่ผิดกันแน่ ๆ ว่ารถคันนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลักหัวใจสำคัญอยู่ที่มอเตอร์ไฟฟ้าที่้ติดตั้งมา 2 ตัวในเครื่องยนต์ชุดนี้ มอเตอร์ขับเคลื่อนตัวแรกจะต่อตรงกับแบตเตอรี่ เรียกว่ามอเตอร์ขับเคลื่อนที่ให้แรงบิดสูงสุดถึง 307 นิวตันเมตร ซึ่งจะทำการส่งไฟฟ้าไปขับเคลื่อนล้อผ่านเฟืองที่ติดกับล้อโดยตรง และจะทำหน้าที่ชาร์จไฟกลับเข้าไปที่แบตเตอรี่เมื่อลดความเร็วหรือเบรกรถ
มอเตอร์อีกตัวมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่ามอเตอร์เจนเนอเรเตอร์ จะทำหน้าที่ในการผลิตไฟฟ้าด้วยกำลังจากเครื่องยนต์ ด้วยการทำงานร่วมกับเจนเนอเรเตอร์ในระบบ และส่งกำลังไฟฟ้าไปที่มอเตอร์ขับเคลื่อนที่เชื่อมต่อกับเฟืองล้อหน้าของรถโดยตรง เพื่อทำการควบคุมรถให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าหรือถอยหลัง
อ่านมาถึงตรงนี้งงไหมครับ สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ 1.รถยนต์คันนี้จะไม่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนรถโดยตรง เครื่องยนต์แอทคินสันที่ติดตั้งมาจะทำหน้าที่สร้างพลังงานไฟฟ้าเพื่อส่งไปที่มอเตอร์ขับเคลื่อนเท่านั้น นี่คือสาเหตุที่ทำให้เราไม่สามารถใช้งานรถด้วยการวิ่งด้วยเครื่องยนต์ได้เพียงระบบเดียว หากระบบไฟฟ้าพัง รถคันนี้จะวิ่งไม่ได้ทันที
2014_Honda_Accord_Hybrid_13
2.ไม่มีการพูดถึงคำว่าเกียร์เกิดขึ้นในการพูดถึงการทำงานของเครื่องยนต์ แม้ฮอนด้าจะบอกว่าระบบที่นำมาใช้งานจะเป็นการพัฒนาต่อเนื่องมาจากระบบเกียร์ซีวีทีประเภทหนึ่งก็ตาม แต่ขอให้ลืมภาพของระบบเกียร์แท่งใหญ่ ๆ ที่เคยพบเห็นในรถรุ่นเดิม ๆ ไปได้เลย เพราะระบบนี้จะส่งกำลังผ่านเฟืองที่เชื่อมโดยตรงกับล้อหน้าโดยตรงเท่านั้น
การทำงานของระบบมอเตอร์และเครื่องยนต์เป็นแบบอัตโนมัติและมีหน่วยควบคุมการทำงานที่จะทำหน้าที่คิดให้เองว่าควรจะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์เข้ามาช่วยประกอบกับเพื่อตอบสนองในเรื่องของการขับขี่ทั้งหมด
ด้วยแนวคิดในการพัฒนาที่ต้องบอกว่าฉลาดเอาเรื่อง แม้จะส่งผลกลับมาในเรื่องของการขับขี่ที่เสียงของมอเตอร์ไฟฟ้าจะดังอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ความเร็วปานกลางไปถึงความเร็วสูง และมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ก็จะหายไปจากแผงคอนโซลหน้า
ระบบเซอร์โวเบรกติดตั้งมาในรถคันนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการชาร์จกระแสไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ในยามเบรก ขณะที่รถสามารถวิ่งด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ด้วยการกดปุ่ม EV ที่ด้านล่างของแป้นเบรก หากวิ่งจนไฟหมด เครื่องยนต์จะกลับมาทำงานอีกครั้งโดยอัตโนมัติ
2014_Honda_Accord_Hybrid_15
ภายในหรูหรามาตรฐาน ห้องโดยสารเก็บเสียงดีเยี่ยม
จริง ๆ แล้วห้องโดยสารของฮอนด้า แอคคอร์ดก็เป็นห้องโดยสารที่น่าเข้าไปนั่งเล่นอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ด้วยวัสดุที่เลือกสรรมาใช้นั้นถือว่าหรูหราเอาเรื่อง และอุปกรณ์ตกแต่งที่มีมาให้อย่างครบครันในทุก ๆ ส่วน
เข้ามาในรถแล้วสิ่งที่จะรอต้อนรับอยู่ก็คือเบาะที่นั่งที่รองรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี แผงคอนโซลหน้าแบบกึ่งโลกอนาคต ด้วยจอตรงกลางแบบแยกเป็น 2 โซน และช่องแสดงข้อมูลด้านหลังพวงมาลัยที่ออกแบบมาอย่างเนี๊ยบกริบ
มาตรวัดผลต่าง ๆ อาจจะแตกต่างจากรุ่นมาตรฐานไปบ้าง เช่น การตัดมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ออกแล้วติดตั้งจอแสดงผลการจ่ายไฟและชาร์จไฟของระบบไฮบริดเข้ามาแทน และหากเป็นนักขับที่ดี มาตรวัดเรืองแสงจะทำการเปลี่ยนสีเพื่อชื่นชมเราอีกต่างหาก
2014_Honda_Accord_Hybrid_23
ระบบปรับอากาศแบบดูอัล โซน แยกการปรับอุณหภูมิแบบอิสระ ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย ระบบเครื่องเสียงอัจฉริยะแบบสัมผัสที่แสดงผลผ่านจอขนาด 8 นิ้ว ลำโพง 7 ตัว มาพร้อมระบบเครื่องเสียงแบบพรีเมียมที่ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง มาพร้อมฮาร์ดดิสก์ในการเก็บเพลง และแน่นอนว่าต้องมีระบบนำทางติดตั้งมาให้ด้วย
ที่มาhttp://www.autospinn.com/2014/07/%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87-2014-%E0%B8%AE%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94-%E0%B9%84%E0%B8%AE/

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Honda Accord Generation 9

Honda Accord Generation 9


All New Honda Accord ใหม่ มาใหม่พร้อมความหรูหราและความโดดเด่นเหนือใคร เช่นเดียวกับสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีขึ้น และยังถือเป็นรถยนต์ที่มีการยกระดับอุปกรณ์มาตรฐานจากแอคคอร์ดรุ่นอื่นๆ นับตั้งแต่ชื่อนี้อยู่ในตลาดมาตลอด 37 ปี สำหรับรุ่นปี 2013 นี้ได้เพิ่มสัมผัสแห่งความหรูหราและความประณีตมากขึ้น มีการติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานที่ให้เพิ่มขึ้น
จนถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดของรถยนต์ในกลุ่มนี้




ในส่วนของดีไซน์ภายนอก นั้นออกแนวผู้ดีไฮโซขึ้นกว่าตัวก่อนเยอะ แต่ก็ยังคงสวยตามแบบสปอร์ต ที่น่าแปลก คือ ได้ลดขนาดตัวถังลง ความยาวเหลือ 4,870 มิลลิเมตร สั้นลง 76 มิลลิเมตร ความสูง 1,465 มิลลิเมตร เตี้ยลง 11 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,775 มิลลิเมตร สั้นลง 25 มิลลิเมตร ซึ่งยังไงก็แล้วแต่มันทำให้มีแต่เสียงตอบรับในเชิง + ว่าดูดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับตัวก่อน สำหรับรุ่น 2.4 ลิตร ถือเป็นครั้งแรกของรถยนต์ Honda ที่ได้นำหลอดไฟแบบ LED มาใช้ ในส่วนไฟเบรกหลัง นอกจากนั้น Accord ใหม่ยังมีไฟ DRL – Daytime Running Lights ติดมาให้อีกด้วย ในทุกรุ่นใช้แม็กขอบ 17” ยกเว้นรุ่น 2.4 TECH ที่จัดให้เต็มถึง 18


ด้านห้องโดยสารภายใน เรียบหรู มีระดับ แต่ออปชั่นลูกเล่นจัดมาเต็ม ทั้งแผงควบคุมแดชบอร์ด ปุ่มจะเยอะไปหน่อย อาจเข้าใจยากนิดหนึ่ง เมื่อใช้งานครั้งแรก แต่เมื่อพอใช้เป็นทำความเข้าใจแล้วก็ ดูจะไม่ยากเย็น เป็นประเด็นสำคัญนัก จอแสดงผล TFT ขนาดใหญ่ 8” ดูได้ชัดเจน กว่า Navi ในรถ Honda รุ่นอื่นมาก ระบบนำทาง และคำสั่งบอกด้วยเสียงภาษาไทย อาจดูน่ารำคาญไปนิด แต่ทว่าฟังชัดเจนเข้าใจในการใช้งานได้ดี เครื่องเล่น DVD และ HDD เก็บไฟล์เพลง ขนาด 100GB มีในรุ่น Navi เท่านั้น สำหรับระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ Bluetooth มีมาในทุกรุ่น และที่ชอบโดดเด่นที่สุดคือ พวงมาลัย จับกระชับมากนุ่มดี การออกแบบรอยตะเข็บ ค่อนข้างเล็ก และทำได้ประณีตไม่รู้สึกถึงรอยเย็บต่อมากนัก เบาะผู้โดยสารตอนหน้านั่งปรับสูง-ต่ำ ไม่ได้ แต่มีจุดที่เอาไว้ปรับเบาะได้สองจุด คือ เพิ่มบริเวณด้านขวาตัวเบาะเข้ามาอีก 1 ที่ ในส่วนเบาะคนขับปรับได้ 8 ทิศทาง แถมตัวดันหลัง ม่านบังแดดด้านข้าง ผู้โดยสารตอนหลังมีมาให้ 2 ฝั่งกระจก และบริเวณกระจกใหญ่บานหลัง สามารถใช้สวิทช์ควบคุมได้อัตโนมัติ ในรุ่น 2.4 TECH มี Sunroof มาให้เพื่อให้รถดูพรีเมี่ยม ยิ่งขึ้น
และอีกหนึ่งลูกเล่นใหม่ สำหรับห้องโดยสาร คือ Active Noise Control กับ Active Sound Control มีไมค์ 2 ตัว ใช้หลักการ Resonance ของคลื่นเสียง คือไมค์จะตรวจวัดคลื่นความถี่เสียง ส่งคำสั่งไปยัง Control Unit ก่อนที่ส่งข้อมูลไปยัง Audio Unit เพื่อสร้างเสียงสังเคราะห์มาหักล้าง เสียง Noise ภายในห้องโดยสาร

ระบบเทคโนโลยีความปลอดภัย ต่างมีมาให้อย่างครบครัน
ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Adaptive Cruise Control (ACC) ที่สามารถตั้ง Distance ให้ห่างจากคันหน้าได้ถึง 4 ระดับ เมื่อทำงานร่วมกับ CMBS ทำให้เราแทบจะไม่ต้องขับเองเลย เพียงแค่ประคองพวงมาลัย ไปในทิศทางของถนนเท่านั้น แต่ ที่ไม่ค่อยประทับใจ คือ เมื่อ ACC ลดความเร็วลงมาแล้ว ความเร็วจะกลับคืน นั้น ค่อนข้างช้ามากค่อยๆ ไล่ขึ้นแบบเนิบๆ ซึ่งถ้ามีคันตามหลังมาอาจจะโดนด่าเอาได้ ระบบ CMBS จะทำงานก็ต่อเมื่อ ความเร็วรถเรากับรถคันหน้าต่างกัน 15 กม./ชม. ขึ้นไปถึงทำงาน จึงทำให้ ถ้าเราขับรถเข้าไปใกล้ๆ แล้วค่อยๆ จี้ มันจึงไม่ทำงาน ลักษณะการทำงาน จะเตือนด้วยแสงไฟกระพริบก่อน แล้วจึง มีเสียงเตือน หลังจากนั้น Seatbelt จะกระตุก และเบรก
Honda Lane Watch ที่มีในรุ่น 2.4 ทำงานต่อเมื่อเปิดไฟเลี้ยวซ้ายค้างไว้ หรือ กดปุ่ม ที่ก้านไฟเลี้ยว เพื่อโชว์ภาพที่จอ TFT ขนาด 8” ช่วยแสดงมุมอับสายตา ซึ่งเพิ่มความปลอดภัยในจังหวะเลี้ยวซ้ายหรือเปลี่ยนเลน
ระบบ VSA ช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ มีมาให้ในทุกรุ่น แถมด้วยการทำหน้าที่แบบ LSD กระจายแรงเบรกไปยังล้อแต่ละล้อ
สมรรถนะการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์
เครื่องยนต์ตัวแรก เบนซิน 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC 155 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์บล๊อกเดียวกันกับ Honda CR-V ที่รองรับน้ำมัน E85 เมื่อนำถูกจับใส่ รถที่มีพิกัด ตันครึ่ง ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับขับ รถ 1.8 ลิตร ในพิกัด Compact Car แต่ฟีลลิ่ง ดูจะออกเนือยๆ เฉื่อยๆ กว่าหน่อย ถามว่าใช้งานทั่วไป ขับแบบเรื่อยๆ ที่ความเร็วสูงหรือคงที่ เพียงพอไหม ต้องตอบได้ว่าพอ แต่ทว่าจากที่เราขับบนเส้นทางภูเขา แบบรถสวน จังหวะเร่งแซงสิบล้อ ในบางครั้ง ต้องระมัดระวัง มาก เนื่องจากกำลังเครื่อง นั้น ดูจะยังไม่เพียงพอ เมื่อต้องการเค้นสมรรถนะในการแซงแบบฉีก ดังนั้น ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นพวกเท้าหนัก ขับเร็ว เร่งแซง คงไม่เพียงพอแน่นอน
และอีกคันกับเครื่องยนต์ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว 2.4 ลิตร i-VTEC มาพร้อมกับกำลังสูงสุด 174 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 225 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ตัวนี้ถือเป็นขุมพลังบล็อกแรกของฮอนด้าที่ผลิตจากเทคโนโลยี Earth Dreams ช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ และเพิ่มประสิทธิภาพ ลดแรงสั่นสะเทือน และประหยัดน้ำมัน แถมด้วยการรองรับชนิดน้ำมัน E85 เช่นเดียวกัน ช่วยเซฟเงินในกระเป๋าสตางค์ได้เพิ่มขึ้นอีก สมรรถนะ ตัวนี้ต่างกับ 2.0 ลิตร แบบรู้สึกได้ แต่เช่นเดิม การออกตัวไม่ได้กระโชกโฮกฮาก ไม่ได้ดึงแรงอย่างที่คิดไว้ ออกแนวผู้ดีมีระดับ รู้สึกเหมือนรถไม่แรงอย่างที่ควรจะเป็นตามความจุ เนื่องจากรอบขึ้นแบบเนือยๆ เรื่อยๆ แต่เมื่อหันมองความเร็ว ปาไป 160 กม./ชม. เข้าไปแล้ว ถือว่าใช้งานได้ดีทีเดียวกับการขับขี่เดินทางไกล หรือ ใช้ในการเร่งแซง บล๊อก 2.4 นี้จะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เหตุผลหลักที่รถออกมาสไตล์นี้ น่าจะเป็นการปรับจูนทางวิศวะกรคงตั้งใจออกมาให้เป็นแนวนี้ ไม่เน้นรีดพละกำลังมาก เน้นใช้งานนุ่มนวลและประหยัด ที่สำคัญเรามองจากตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง ได้ใกล้เคียงกับ 2.0 ลิตร อยู่ที่ราวๆ 12 กม./ลิตร กลางๆ
ระบบส่งกำลัง ใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 Speed แบบ Grade Logic Control พร้อม Direct Control และ Shift Hold Control สำหรับรุ่น 2.4 มีมาให้ใช้ 2 โหมด คือ D ซึ่งเน้นการตอบสนองแบบประหยัด กับความนุ่มนวล และ S โดยในโหมด S สามารถลากรอบไปจนถึง Red Line ก่อนที่จะตัดขึ้นเกียร์ใหม่ ให้ความจัดจ้านเพิ่มขึ้น และเกียร์ทำงานเพียง 4 เกียร์เท่านั้น ถ้าเป็นรุ่น 2.0 จะเป็น D , D3 และ L การทดเกียร์ นั้น 2.0 ทดมาสูงกว่า 2.4 เพื่อเน้นใช้กำลังเครื่องกับการแบกรับน้ำหนักตัวที่สูง ค่อยๆขับขี่กันไปรอบเครื่องไต่ขึ้นมาแบบเรื่อยๆ เมื่อมองทางมาตรวัดรอบเครื่อง รอบจะกวาดขึ้นอย่างช้าๆ จนรู้สึกว่า ดูจะอืดไปนะ แต่เมื่อหันมามองที่มาตรวัดความเร็วปรากฏ นั้นไปไกลแล้ว และระบบ Shift Hold Control ก็ทำงานได้ค่อนข้างดีไม่เปลี่ยนเกียร์ไปมา ในจังหวะช่วงเล่นโค้งบนเขา รักษารอบเครื่องเอาไว้ให้การขับขี่ นั้นเดินได้ราบเรียบดียิ่งขึ้น
แฮนด์ลิ่งในการควบคุม ทำได้ประทับใจมาก กับพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS ความรู้สึก ในการหักเลี้ยวต้องบอกว่า Smooth มากๆ นิ่มนุ่มนวล ดูดีน้ำหนักเป็นธรรมชาติ เกินพวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้าทั่วๆไป ในจังหวะ หักเลี้ยวสาวพวงมาลัยที่ความเร็วต่ำหรือ หยุดนิ่ง ก็ให้ความนุ่มนวล วงเลี้ยวเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีขาดๆ เกินๆ เหมือน อย่างหลายรุ่นที่เป็นแบบผ่อนแรงไฟฟ้า ที่ความเร็วสูงยังคงนิ่งมั่นคงตามความเร็ว ระยะฟรีของพวงมาลัยไม่มากนัก และแม้เส้นทางที่เราขับทางจะขรุขระ แต่ พวงมาลัยยังคงทำได้แน่นิ่งดี ไม่มีออกอาการสะดีดสะดิ้นให้เห็นนัก น้ำหนักในการประคองแฮนลิ่งในโค้ง ก็เหมาะสม ไม่หนักโอเวอร์จนเกินไป ถือเป็นจุดที่ประทับใจที่สุดเลยในสมรรถนะการขับขี่ก็ว่าได้ กับ แฮนด์ลิ่งเจ้า New Accord คันนี้
ช่วงล่าง ด้านหน้าจากที่เคยเป็น อิสระดับเบิลวิชโบน ถูกเปลี่ยนกลับมาใช้ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ตามพิมพ์นิยม ในส่วนด้านหลังยังใช้ อิสระมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง เช่นเดิม การเซ็ตช่วงล่างออกแนวสปอร์ตทำให้กระทบ กับความสะดวกสบาย จึงได้แก้โดยเสริม Hydro Bush กับ Rebound สปริง เพิ่มเข้าไป เสริมความนุ่มนวล แต่ทว่า ด้วยความที่พื้นเพเดิมของโช้คอัพนั้น เป็นสเป็กอเมริกา ซึ่งเน้นการใช้งานบนถนนเรียบ Highway ทำความเร็ว รถไม่ติด เมื่อถูกนำมาใช้งานในประเทศไทยบ้านเรา ซึ่งใช้ความเร็วสูงกันก็ไม่ค่อยจะได้ และมิหนำซ้ำ พื้นถนนก็ช่างสุดยอดเหี้ยม! จึงทำให้เวลานั่งแล้วไม่ได้รู้สึกนุ่มนวลอย่างที่คิดนัก ลักษณะช่วงล่างจะมีระยะยุบที่น้อย และจังหวะ Rebound คืนตัวจะรวดเร็วทำให้รู้สึกสะเทือนพอสมควร เมื่อคลานในช่วงความเร็วต่ำ พอเข้าย่านความเร็วสูงขึ้น ก็เริ่มรู้สึกหนึบ แน่นและพอเหมาะกับความเร็ว ไม่ทำให้รู้สึกสะเทือนเหมือนย่านความเร็วต่ำ การเข้าโค้งเข้าการยึดเกาะดี ตัวรถไม่โยนเท หรือออกอาการใดๆ แม้เข้าด้วยความเร็วสูง ซึ่งอาจมีผลจากตัวถังรถที่ค่อนข้างหนักด้วย สำหรับในรุ่น 2.0 และ 2.4 เซ็ตช่วงล่าง มาเหมือนกัน แต่จะต่างกันที่ ชนิดยาง ซึ่ง 2.0 เป็น 225/50/17 Michelin Primacy และ 2.4 เป็น 235/40/18 Michelin Pilot Sport ซึ่งจะส่งผลต่อความนุ่มนวลที่ต่างกันไปอีกเล็กน้อย
ระบบห้ามล้อ แบบดิสก์เบรก 4 ล้อ เป็นอีกจุดที่ทำได้น่าประทับใจมาก ฟีลลิ่งไม่แข็งทื่อ เหมือน Honda รุ่นอื่นๆ ออกแนวหนักแน่น นุ่มนวล ดั่งเช่นรถยุโรป หากขับจี้รถคันหน้า เห็นไฟเบรก เหยียบเบรกตาม ไม่จำเป็นต้องแตะลงลึกนัก ความเร็วก็หน่วงลงเร็วมาก ทำได้ค่อนข้างหายห่วง
ll New Honda Accord มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก), สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก), สีดำคริสตัล , สีขาวออร์คิด , สีทองแชมเปญฟรอสต์
สำหรับรุ่นย่อยประกอบด้วยรุ่น 2.0 EL, 2.0 EL NAVI, 2.4 EL, 2.4 EL NAVI และ 2.4 TECH
สนนราคา รุ่น 2.0 EL 1,299,000. , 2.0 EL NAVI 1,419,000. , 2.4 EL 1,549,000. ,2.4 EL NAVI 1,669,000. และ 2.4 TECH 1,799,000.
สำหรับ สีทองแชมเปญฟรอสต์ (มุก) และสีดำคริสตัล (มุก) เพิ่มอีก 8,000 บาท, ส่วนสีขาวออร์คิด (มุก) เพิ่มอีก 12,000 บาท
ที่มา
http://www.autospinn.com/2013/04/grouptest-2013-all-new-honda-accord/



ประวัติ Honda Accord

ประวัติ Honda Accord


ประวัติ Honda Accord

ฮอนด้า แอคคอร์ด เป็นรถซีดานขนาดกลางที่ผลิตและพัฒนาโดยบริษัทฮอนด้าโดยเริ่มต้นสายการผลิตในปี พ.ศ. 2519 ในประเทศญี่ปุ่น โดยเครื่องที่ออกมาตัวแรกคือเครื่อง 1600 ซีซี ซึ่งนับเป็นรถขนาดกลาง โดยรูปทรงที่ออกมามีลักษณะใกล้เคียงกับ ฮอนด้า ซีวิคในรุ่นเดียวกัน ในช่วงที่แอคคอร์ดถูกออกแบบมาใหม่ๆ แอคคอร์ดถูกกำหนดให้ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบโดยเฉพาะ ซึ่งกำหนดให้สภาพเครื่องยนต์แตกต่างจากซีวิค แต่เนื่องจากเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ และภาวะน้ำมันแพงในระยะต่อมา ทางฮอนด้าได้มีการปรับเปลี่ยนระบบต่างๆ รวมทั้งเครื่องยนต์ โดยได้ปรับปรุงและพัฒนาออกมาเป็นเป็น 2 รุ่นหลักอย่างที่เห็นในปัจจุบัน คือ รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ และรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ

Generation ที่ 1 (รุ่นปี พ.ศ. 2519-2524)

โฉมแรกนี้ ทำออกมาทั้งสิ้น 6 รุ่นปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2524 โดยรุ่นบุกเบิกมีเครื่องยนต์ขนาด 68 แรงม้า แต่ว่ารุ่นปี พ.ศ. 2523 นั้น ยังผลิตอยู่จนถึง พ.ศ. 2524 จึงเลิกผลิต โดยในสมัยนั้น ระบบเกียร์อัตโนมัตินั้น ยังไม่ถูกพัฒนาเท่าที่ควร ระบบอัตโนมัติได้กินพื้นที่กระปุกเกียร์ จึงไม่สามารถติดเฟืองเกียร์ได้มากเหมือนเกียร์ธรรมดา ในโฉมแรกนี้ ระบบเกียร์มี 3 ระบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 ระดับเกียร์เดินหน้า กับเกียร์อัตโนมัติ 2 กับ 3 ระดับเกียร์เดินหน้า ดังนั้น การมีเกียร์น้อย ทำให้มีปัญหาในด้านของการใช้น้ำมันอย่างสิ้นเปลือง จึงไม่ค่อยมีคนซื้อ แต่ก็ยังมีการผลิต แต่โฉมนี้ ก็เป็นโฉมแรกและโฉมเดียวที่มีการผลิตเกียร์อัตโนมัติ 2 กับ 3 ระดับเกียร์เดินหน้าด้วย โดยเปิดตัวในปี1976โดยเป็นตัวถัง3ประตูในตอนแรกใช้แพลตฟอร์มเดียวกับซีวิค ใช้เครื่องยนต์เบนซิน1600cc 68แรงม้า ต่อมาในเดือนตุลาคมปี1977ก็ออกรุ่น4ประตูซีดานและปรับกำลังเพิ่มขึ้นเป็น72แรงม้า ในปี1978ก็ออกรุ่นเบนซิน1800cc ในปี1980ก็ออกรุ่นเกียร์อัตโนมัติ3สปีดจากเดิมแค่2สปีดให้เลือก โดยในเจเนอเรชันแรกนี้ คู่แข่งที่สำคัญในเวลานั้นคือ โตโยต้า โคโรน่ามาสด้า 626ดัทสัน 510 และ มิตซูบิชิ กาแลนต์
ด้านตัวถัง โฉมแรกนี้แอคคอร์ดมีตัวถังเพียง 2 แบบ คือ Hatchback 3 ประตู กับ Sedan 4 ประตู มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาดคือ 1.6 กับ 1.8 ลิตร
สำหรับในประเทศไทย ในระยะเวลานั้น ฮอนด้าสำนักงานใหญ่ยังไม่เข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่เอเชียน ฮอนด้า ก็ได้นำแอคคอร์ดรุ่นนี้มีการนำเข้ามาขายในประเทศไทย แต่ก็มียอดขายไม่กี่คันเท่านั้น

Generation ที่ 2 (รุ่นปี พ.ศ. 2525-2528)


โฉมที่ 2 นี้ ผลิตออกมาทั้งสิ้น 4 รุ่นปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2525 - พ.ศ. 2528 เปิดตัวกันยายนปี1981ในญี่ปุ่นและยุโรปส่วนอเมริกาเหนือในปี1982 และยังมีฝาแฝดขายในชื่อvigorแอคคอร์ดรุ่นนี้เป็นแอคคอร์ดรุ่นแรกที่ฮอนด้านำไปขึ้นไลน์ประกอบในอเมริกาและเป็นรุ่นแรกที่นำมาขายในไทยอย่างเป็นทางการ และในปี1984ก็นำเครื่องหัวฉีดPGMiมาใข้เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นโดยรุ่น1800cc carburator มี110แรงม้า 1800cc หัวฉีดPGM-Fi โดย1600ccตัวเก่ายังอยู่ในปี1983ก็มีรุ่นเกียร์อัตโนมัติ4สปีดและยังมีรุ่นพิเศษspecial editionมีหลังคาซันรูฟ กระจกไฟฟ้า เบาะหนังอีกด้วย
สำหรับประเทศไทย ในช่วงนี้ ฮอนด้า สำนักงานใหญ่เข้ามาทำธุรกิจในไทยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2526 จึงมีการจำหน่ายแอคคอร์ดอย่างเป็นทางการเป็นรุ่นแรก โดยโฉมนี้มีจำหน่ายรุ่นเดียวคิอ1800cc carburator 100แรงม้า

Generation ที่ 3 (รุ่นปี พ.ศ. 2529-2532)


โฉมที่ 3 นี้ ผลิตมาทั้งสิ้น 4 รุ่นปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2529 - พ.ศ. 2532 เปิดตัวครั้งแรกมิถุนายน1985ที่ญี่ปุ่นในยุโรปและอเมริกาตามมาภายหลังนักเลงรถบ้านเราเรียกว่ารุ่นท้ายดำแดงสองชั้นใช้แพลตฟอร์มเดียวกับโดยรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่ใช้ช่วงล่างดับเบิลวิชโบนอิสระทั้ง4ล้อและมีระบบเบรกABSให้เลิอกด้วยในรุ่นดิสก์เบรก4ล้อเป็นรุ่นเดียวที่ไฟหน้าเป็นไฟแบบpopupรุ่นแรกและรุ่นเดียวแต่รุ่นที่ขายในไทยเป็นแบบธรรมดามีรุ่นเครื่องยนต์ 1600cc 1800ccและ2000cc นอกจากนี้ยังมีตัวถังหลายแบบ3ประตูhatchback 3ประตู shootingbrake เรียกว่า Accord Aerodeck และ2ประตู มาในปี 2530 และขายกันถึงปี 2532 ได้รับรางวัลรถยนต์นั่งยอดเยี่ยมแห่งปีของญี่ปุ่นประจำปี 2529 อีกด้วย
ในไทยนั้นเป็นเครื่อง2000cc (1955cc)105แรงม้า โดยมี 2 แบบ คือ
  • LX เกียร์ธรรมดา 5 สปีด กระจกหน้าต่างและกระจกส่องข้างแบบปรับมือ ล้อกระทะเหล็ก 13 นิ้วพร้อมฝาครอบ ยางขนาด 185/70R13
  • EX เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด กระจกหน้าต่างไฟฟ้าและกระจกส่องข้างปรับไฟฟ้า ล้อกระทะเหล็ก 13 นิ้วพร้อมฝาครอบ ยางขนาด 185/70R13 (เฉพาะรุ่นท้ายๆ จะได้ล้อแม็กนีเซียมอัลลอย 14 นิ้ว ยางขนาด 195/60R14)
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรุ่น จะได้พวงมาลัยพาวเวอร์ผ่อนแรง, เซ็นทรัลล็อก, ไฟส่องข้างประตู, เสาอากาศไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งถือว่าเป็นความล้ำหน้าในเทคโนโลยีไม่น้อย ส่วนเบาะจะเป็นเบาะสังเคราะห์ หรือเบาะหนังเทียม (ไวนิล) รอบคันแม้แต่รุ่นท็อป ซึ่งเป็นจุดอ่อนเนื่องจากคู่แข่งใช้เบาะกำมะหยี่หรูหรากว่า

Generation ที่ 4 (รุ่นปี พ.ศ. 2533-2536)


โฉมนี้ ผลิตมาทั้งสิ้น 4 ปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2533 - พ.ศ. 2536 เปิดตัวครั้งแรกในปี1989ใช้พื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกับhonda ascot ,honda vigorและhonda inspireที่เน้นตลาดบนมากกว่าพี่น้องร่วมสายพันธ์โฉมนี้นับว่าเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในไทยและในอเมริกายังเป็นรถยนต์นั่งที่ขายดีที่สุดถึง3ปีซ้อนอีกด้วย ตลาดรถในประเทศไทย เรียกว่ารุ่นตาเพชร เนื่องจากไฟหน้าเป็นมัลติรีเฟลกเตอร์เมื่อมองแล้วมีลักษณะเหมือนเพชรที่แวววาวจึงเรียกว่าตาเพชร โดยโฉมนี้ในต่างประเทศมีเครื่องยนต์1800cc 2000cc และ2200cc125แรงม้า 130แรงม้าและ140แรงม้า
ในไทยใช้เฉพาะเครื่องยนต์ 2000cc เท่านั้น มีเซ็นทรัลล็อก พวงมาลัยพาวเวอร์ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ
  • LX / EX เป็นรุ่นต่ำสุด เครื่องยนต์ 2000cc คาร์บิวเรเตอร์ 112 แรงม้า เบาะหนังเทียม (ไวนิล) กระจกข้างและมือจับเปิดประตูนอกรถสีดำ ล้อกระทะเหล็ก 14 นิ้วพร้อมฝาครอบ ยางขนาด 185/70R14 โดย LX จะเป็นเกียร์ธรรมดาของรุ่นต่ำสุด และ EX เป็นเกียร์อัตโนมัติของรุ่นต่ำสุด โดยไม่มีความแตกต่างของออปชั่นระหว่างรุ่น LX กับ EX
  • LXi / EXi เป็นรุ่นท็อป เครื่องยนต์ 2000cc หัวฉีด 135 แรงม้า เบาะกำมะหยี่ กระจกข้างปรับด้วยไฟฟ้าสีเดียวกับตัวรถ มือจับเปิดประตูสีเดียวกับตัวรถ ล้อแม็กนีเซียมอัลลอย 15 นิ้ว ยางขนาด 195/60R15 โดย LXi จะเป็นเกียร์ธรรมดาของรุ่นท็อป และ EXi จะเป็นเกียร์อัตโนมัติของรุ่นท็อป (มาหลังการเปิดตัวประมาณ 1 ปี) โดยไม่มีความแตกต่างของออปชั่นระหว่างรุ่น LXi กับ EXi
เปิดตัวในไทยในปี 2533 โดยช่วงแรกจะมีเฉพาะ LX / EX กับ LXi เท่านั้น ส่วน EXi ตามมาในปี 2534 ในช่วงแรกนี้ไฟท้ายจะเป็นแผงยาวจรดแผงป้ายทะเบียน จึงเรียกกันว่า ตาเพชรไฟยาว รุ่นไมเนอร์เชนจ์ออกเมื่อปี 2535 โดยเปลี่ยนไฟเล้ยวใหม่ ไฟท้ายใหม่ที่กลับไฟเบรกมาอยู่ข้างบนไฟเลี้ยวนักเลงรถเรียกรุ่นนี้ว่า ตาเพชรไฟสั้น โดยขายจนถึงปี 2537 รุ่นนี้ไม่มีตัวถัง3ประตูแล้ว โดยตัวถัง5ประตูขายในยุโรปชื่อ Aerodeck
จากโฉมก่อนหน้าจนถึงโฉมนี้ คู่แข่งโดยตรงที่สำคัญของแอคคอร์ด คือ โตโยต้า โคโรน่า และ นิสสัน บลูเบิร์ด เนื่องจากมีขนาด ออปชั่น และราคาในระดับไล่เลี่ยกัน แต่แอคคอร์ดรุ่นตาเพชรได้เป็นสัญญาณใหม่ในตลาดเมืองไทยที่เริ่มมีขนาด เทคโนโลยี และราคาที่ฉีกออกไปจากคู่แข่งสองรุ่นในข้างต้น แต่ในทางปฏิบัติยังถือกันว่ายังเป็นรถระดับเดียวกับโคโรน่าและบลูเบิร์ด

Generation ที่ 5 (รุ่นปี พ.ศ. 2536-2540)


Generation ที่ 5 (รุ่นปี พ.ศ. 2536-2540)[แก้]



โฉมนี้ ผลิตออกมาทั้งสิ้น 4 รุ่นปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2536 - พ.ศ. 2540 ขายในปี1994โดยในโฉมนี้ที่ขายในญี่ปุ่นกับยุโรปเป็นคนละโมเดลกันโดยอเมริกายังเป็นโมเดลเดียวกับญี่ปุ่นโดยรุ่นที่ขายในยุโรปญี่ปุ่นขายในญี่ปุ่นในชื่อAscot Innova โดยใช้พื้นฐานวิศวกรรมเดียวกับฮอนด้าพรีลูด และยังขายในชื่อ rover 800และisuzu aska อีกด้วยในเวอร์ชันญี่ปุ่นส่วนเวอร์ชันยุโรปยังขายในชื่อrover 600อีกด้วยและขยับขนาดตัวถังจากรถยนต์นั่งขนาดเล็กเป็นขนาดกลาง ได้รับการวางเครื่องยนต์รหัส F18B ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาพต์ 4 สูบ 16 วาล์ว 1,849 ซีซี 125 แรงม้า, รหัส F20B ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาพต์ 1,997 ซีซี 135 แรงม้า, รหัส F22B ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาพต์ 2,156 ซีซี 145 แรงม้า และแรงสุดในรหัส H22A ทวินแคม VTEC 2,156 ซีซี 190 แรงม้าซึ่งบลอกนี้เป็นเครื่องที่คนที่ใช้รุ่นตาเพชรและรุ่นนี้ที่ต้องการความแรงเพิ่มต่างถวิลหากันที่จะเอามาวางต่อมา2700cc v6 H23A 2300ccและ2000ccดีเซลเครื่องroverโดย2บลอคหลังเฉพาะเวอร์ชันยุโรปและRover 600 เกียร์อัตโนมัติ ระบบกันสะเทือนปีกนกคู่ ระบบเบรกหน้าดิสก์-หลังดรัม (เฉพาะรุ่น SiR เป็นดิสก์เบรก4ล้อ)
ในประเทศเปิดตัวเมื่อปี 2537 มีทั้งประกอบนอกและประกอบในโดยในรุ่นนี้นักเลงรถบ้านเราเรียกว่ารุ่นไฟท้ายก้อนเดียวเพราะมีไฟท้ายชิ้นเดียวบนฝากระโปรง และรุ่นไมเนอร์เชนจ์มาในปี 2539 โดยนักเลงรถบ้านเราเรียกว่ารุ่นไฟท้าย 2 ก้อนเพราะมีไฟท้าย 2 ชิ้นขายถึงปี 2540 โดยในโฉมนี้มีตัวเลือก 3 แบบ คือ
  • LXi / EXi เป็นรุ่นต่ำสุด เครื่องยนต์ 2200cc หัวฉีด 138 แรงม้า ในช่วงแรกจะยังใช้ล้อกระทะเหล็ก 14 นิ้วพร้อมฝาครอบ ยางขนาด 185/70R14 แต่พ้นปีแรกของการเปิดตัวไปแล้ว ได้เปลี่ยนไปใช้ล้อแมกนีเซียมอัลลอย 15 นิ้ว ยาวขนาด 195/60R15 ได้กระจกปรับ-พับไฟฟ้า เซ็นทรัลล็อก เบาะกำมะหยี่ วิทยุเทป 4 ลำโพง เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดย LXi คือเกียร์ธรรมดาของรุ่นต่ำสุด และ EXi คือเกียร์อัตโนมัติของรุ่นต่ำสุด ไม่มีส่วนแตกต่างของออปชั่นระหว่าง LXi กับ EXi
  • VTi-L / VTi-E เป็นรุ่นกลาง เครื่องยนต์ 2200cc หัวฉีดวาล์วแปรผัน (VTEC) 143 แรงม้า สิ่งที่ได้เพิ่มจากเดิมคือ พวงมาลัยหุ้มหนังระบบเบรกป้องกันล้อล็อก โดย VTi-L คือเกียร์ธรรมดาของรุ่นกลาง และ VTi-E คือเกียร์อัตโนมัติของรุ่นกลาง และในช่วงปีท้ายๆ มีการติดตั้งถุงลมนิรภัย ฝั่งคนขับมาด้วย ล้ออัลลอย 15 นิ้ว ยางขนาด 195/60R15
  • VTi-S เป็นรุ่นท็อป มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ เครื่องยนต์ 2200cc หัวฉีดวาล์วแปรฝัน 143 แรงม้า ประกอบจากญี่ปุ่น สิ่งที่ได้เพิ่มคือ เบาะนั่งหุ้มหนังสีครีม เบาะคนขับปรับไฟฟ้า ถุงลมนิรภัยคนขับ และ รุ่นไฟท้ายก้อนเดียว (2537-2538) จะได้ซันรูฟ ส่วนรุ่นไฟท้ายสองก้อน (2539-2540) จะได้เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติและถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า
โดยในช่วงเจเนอเรชันนี้ แอคคอร์ดก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมมหาศาลในตลาด เนื่องจากแอคคอร์ดรุ่นนี้ได้พัฒนา ขยายขนาดรถยนต์ เครื่องยนต์ และเพิ่มออปชั่นและเทคโนโลยีต่างๆ เข้าไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งการออกแบบรถที่ออกมาหรูหรากว่าโคโรน่าและบลูเบิร์ด โตโยต้าจึงไม่สามารถใช้ โตโยต้า โคโรน่า ได้อีกต่อไปจึงสั่ง โตโยต้า คัมรี่ จากออสเตรเลียเข้ามาเพื่อเป็นคู่แข่งโดยตรงกับแอคคอร์ดแทนโคโรน่า ส่วนโคโรน่าได้กลายเป็นรถที่ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงกับแอคคอร์ดอีกต่อไป ตำแหน่งการตลาดของโคโรน่าหลังการมาของแอคคอร์ดรุ่นนี้ถูกลดลงไปอยู่กึ่งกลางระหว่าง ซีวิค กับ แอคคอร์ด (หรือเรียกว่า C-D Segment) ต่างจากโคโรน่าตั้งแต่ปี 2536 ลงไป ที่ถูกวางตำแหน่งไว้เป็นรถหรู อยู่ระดับเดียวกับแอคคอร์ดโดยตรง ดังนั้นคนรุ่นหลังจำนวนมากที่มาไม่ทันเฉพาะโคโรน่ารุ่นก่อนๆ จึงมักเข้าใจว่าโคโรน่าไม่ได้เป็นรถระดับเดียวกับแอคคอร์ด เช่นเดียวกับนิสสัน บลูเบิร์ด ซึ่งพบชะตากรรมเดียวกับโคโรน่า แต่นิสสันมี เซฟิโร่ ซึ่งเริ่มจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2533 มาเป็นคู่แข่งแทน โดยบลูเบิร์ดรุ่นสุดท้ายที่ถูกวางตำแหน่งเป็นรถคู่แข่งเต็มขั้น คือ นิสสัน บลูเบิร์ด แอทเทซา ซึ่งต่อมา ทั้งบลูเบิร์ดและโคโรน่า ก็ต่างถูกยุบสายการผลิตไปในที่สุด

Generation ที่ 6 (รุ่นปี พ.ศ. 2541-2545)


Generation ที่ 6 (รุ่นปี พ.ศ. 2541-2545)[แก้]




โฉมนี้ ผลิตออกมาทั้งสิ้น 5 ปี ตั้งแต่รุ่นปี พ.ศ. 2541 - พ.ศ. 2545 โดยตัวถังนี้แบ่งเป็น3เวอร์ชันคือญี่ปุ่น ยุโรปและอเมริกาโดยบ้านเราตัวถังเดียวกับอเมริกาโดยในญี่ปุ่นเปิดตัวครั้งแรกในเดือนสิงหาคมปี1997และยังมีอีกโมเดลทีใช้พื้นฐานวิศวกรรมเหมือนกันชื่อhonda torneoและยังมีขายในชื่อisuzu askaโดยมีตัวถัง4ประตูซีดานและ5ประตูwagonโดยมีเครื่องยนต์ดังนี้ F18B 4 สูบ VTEC ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาพต์ 1,849 ซีซี 140 แรงม้า, F20B 4 สูบVTEC ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาพต์ 1,997 ซีซี148 แรงม้า มีรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อให้เลือก และรหัส F20B(ในรุ่น SiR) 4 สูบ VTEC ทวินแคม 16 วาล์ว 1,997 ซีซี 180 แรงม้าและH22A 220แรงม้าในรุ่นEuro R2.0L ส่วนเวอร์ชันอเมริกานั้นเปิดตัวในปี1997ใกล้เคียงกันโดยเวอร์ชันนี้เป็นเวอร์ชันเดียวกับของไทยโดยมีตัวถัง2ประตูคูเปและ4ประตูซีดาน โดยมีเครื่องยนต์ดังนี้F20B5 I4 147 hp(110 kW)2.3L F23A1 I4 150 hp(112 kW)2.3L F23A4 I4 148 hp(110 kW)2.3L F23A5 I4 135 hp (101 kW) 3.0L J30A1 V6 200 hp (150 kW)ส่วนในเวอร์ชันยุโรปมีทั้งตัวถัง4ประตูซีดานและhatchbackโดยมีเครื่องยนต์1800cc 2000cc และ H22A 2200cc 220แรงม้าและยังมีดีเซลตัวเดิมอีกด้วย
สำหรับประเทศไทยนักเลงรถบ้านเราเรียกว่ารุ่นงูเห่าโดยมีตัวเลือก 3 รุ่น คือ
  • EXi Manual / EXi Automatic เป็นรุ่นต่ำสุด เครื่องยนต์ 2300cc 138แรงม้า หัวฉีด โดย EXi Manual เป็นเกียร์ธรรมดาของรุ่นต่ำสุด (มีเฉพาะครึ่งแรกของอายุตลาด ครึ่งหลังได้ตัดเกียร์ธรรมดาออก) และ EXi Automatic เป็นเกียร์อัตโนมัติของรุ่นต่ำสุด
  • VTi Manual / VTi Automatic เป็นรุ่นกลาง เครื่องยนต์ 2300cc หัวฉีดวาล์วแปรฝัน VTEC 148แรงม้า โดย VTi Manual เป็นเกียร์ธรรมดาของรุ่นกลาง (มีเฉพาะครึ่งแรกของอายุตลาด ครึ่งหลังได้ตัดรุ่นเกียร์ธรรมดาออก) และ VTi Automatic เป็นเกียร์อัตโนมัติของรุ่นกลาง
  • 3.0V6 เป็นรุ่นท็อป มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ เครื่องยนต์ 3000cc หกสูบตัววี 197 แรงม้า
แอคคอร์ดโฉมนี้ เป็นโฉมที่เก่าที่สุดที่ฮอนด้า มอเตอร์ ประเทศไทย รับรองให้รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อย่างเป็นทางการ[1] (แต่ในทางปฏิบัติ เครื่องยนต์หัวฉีดทุกรุ่นของฮอนด้าที่มีกล่องสมองกลสามารถรองรับได้) และเป็นโฉมสุดท้ายของแอคคอร์ดในประเทศไทยที่มีรุ่นเกียร์ธรรมดา หลังจากตัดออกไปในช่วงกลางอายุของโฉมนี้ก็ไม่มีแอคคอร์ดเกียร์ธรรมดาในประเทศไทยอีก

Generation ที่ 7 (รุ่นปี พ.ศ. 2546-2550)




Generation ที่ 8 (รุ่นปี พ.ศ. 2551-2555



โดยรุ่นนี้ก็แบ่งเป็น2เวอร์ชันตัวถังอีกตามเคยคือเวอร์ชันยุโรปกับญี่ปุ่น มีขายในอเมริกาชื่ออคูรา ทีเอสเอกซ์และ อเมริกากับบ้านเราเวอร์ชันเดียวกันขายในญี่ปุ่นในชื่อฮอนด้า อินสไปร์เหมือนเคย เวอร์ชันยุโรปเปิดตัวในปี2008ที Geneva motorshowและมึตัวถัง2แบบเหมือนเคยคือ4ประตูsedanและ5ประตูwagonในชื่อAccord Tourerมีเครื่องยนต์ 2000cc,2400ccและ2200ccตัวเดิมทั้งหมดและยังขายมาถึงปัจจุบัน ส่วนเวอร์ชันอเมริกานั้นเปิดเผยคอนแซบคาร์ของรุ่นนี้ในรุ่นตัวถังcoupeในงานดีทรอยมอเตอร์โชว์ปี 2550 โดยเริ่มขายกันจริงๆในเดือนกันยายนปีเดียวกันและมี2แบบเหมือนเคยคือ2ประตูคูเป้และ4ประตูsedanมีเครื่องยนต์ดังนี้R20A 2000cc 2400ccK24Z2177แรงม้าและK24Z3190แรงม้า J35Z2 v63500cc271 แรงม้า J35Z3 v63500cc nonvcm 268แรงม้า และ turbodiesel 2200ccโดยใน
ปี2010ก็ออกรุ่น Accord Crosstour ซึ่งเป็นsuvที่มีพื้นฐานมาจากแอคคอร์ดรุ่นนี้ใช้เครื่อง2400ccและ3500ccตัวเดิม และในปี 2553 ก็ไมเนอร์เชนจ์โดยเปลี่ยนกระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่
สำหรับประเทศไทยนั้นเปิดตัวในปลายปี 2550 ช่วงงานมอเตอร์เอกซ์โปพอดีซึ่งมีตัวเลือกคือ
  • 2.0E เป็นรุ่นต่ำสุด แต่ได้ออปชั่นค่อนข้างครบ (รุ่นก่อนปี 2553 มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติด้วย)
  • 2.4E ได้เครื่องยนต์ 2400cc ออปชั่นที่ของรุ่นนี้ที่ไม่มีใน 2.0E ได้แก่ แป้นเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัย (Paddle Shift), ลายไม้ครึ่งคัน (2.0E ลายไม้เฉพาะจุด), ม่านกระจกหลังไฟฟ้า, กระจกหน้าต่างและกระจกมองข้างเคลือบสารลดการเกาะตัวของหยดน้ำฝน, ไฟเบรกตำแหน่งกลางแบบ LED แต่ออปชั่นที่รุ่นนี้ไม่มีแต่มีในรุ่น 2.0E ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control), ไฟตัดหมอกคู่หน้า และถุงลมนิรภัยด้านข้าง (ได้เพียงคู่หน้า 2 ลูก ในขณะที่ 2.0E ได้ 4 ลูก) อย่างไรก็ตาม รุ่นนี้ถูกตัดออกไปในช่วงปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ปี 2553
  • 2.0EL / 2.0EL Navigator เป็นรุ่นที่เพิ่มมาในปี 2553 แทนรุ่น 2.4E สิ่งที่ได้เพิ่มคือการตกแต่งลายไม้รอบคัน, ลำโพง Sub-Woofer (เฉพาะ 2.0EL Navigator), และล้ออัลลอย 17 นิ้ว ยางขนาด 225/50R17 (รุ่น E ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ยางขนาด 215/60R16) แต่จะไม่มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ม่านกระจกหลังไฟฟ้า, กระจกหน้าต่างและกระจกมองข้างเคลือบสารลดการเกาะตัวของหยดน้ำฝน
  • 2.4EL / 2.4EL Navigator สิ่งที่ได้เพิ่มจาก 2.0EL คือไฟหน้า HID, ไฟหน้าปรับระดับอัตโนมัติ, ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ (รุ่นต่ำกว่ามีเฉพาะการปิดไฟอัตโนมัติ), ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, กระจกข้างด้านซ้ายปรับลงอัตโนมัติที่เกียร์ถอยหลัง, ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่, ม่านถุงลมด้านข้าง, กระจกตัดแสงอัตโนมัติ, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ม่านกระจกหลังไฟฟ้า, กระจกหน้าต่างและกระจกมองข้างเคลือบสารลดการเกาะตัวของหยดน้ำฝน
  • 3.5V6 สิ่งที่มีมากกว่า 2.4EL ได้แก่ ซันรูฟ, ระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร, สวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพนักเท้าแขนเบาะหลัง
เครื่องยนต์ที่ใช้มี 3 รุ่น คือ R20A 2000cc 154 แรงม้า K24Z2 2400cc 178 แรงม้า และ V6 i-VTEC VCM 3500cc 271 แรงม้า และเติมE20ได้มาใช้เป็นครั้งแรกที่มีระบบ VCM ระบบลูกสูบแปรผันอัตโนมัติโดยรุ่นนี้มีเนวิเกเตอร์พร้อมฮาร์ดดิสก์ด้วยในรุ่น2400ccและv6 3500ccไมเนอร์เชนจ์ในปี2010โดยเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่และกระจังหน้าใหม่อีกด้วยในรุ่น2000ccนั้นได้มีเนวิเกเตอร์แล้ว ต่อมา
ในปลายปี 2554 ได้เกิดมหาอุทกภัยในประเทศไทยทำให้โรงงานไม่สามารถผลิตรถออกมาขายได้ฮอนด้าประเทศไทยจึงนำเข้าaccordจากญี่ปุ่นที่ขายในญี่ปุ่นในชื่อinspireมาขาย2รุ่นคือ2000ccและ2400ccข้อสังเกตคือคันที่เป็นรถนำเข้านั้นจะมีหลังคาซันรูฟและไฟหน้าซีนอนแต่ก็ขายไม่ค่อยดีเท่าช่วงต้นโมเดลสักเท่าไร โดยขายกันมาจนถึงมีนาคม 2554
และโฉมที่ 8 นี้ สามารถรองรับน้ำมันพลังงานทดแทนพิเศษ แก๊สโซฮอล์ E20 ได้ ซึ่งเป็นพลังงานทดแทนใหม่ของประเทศไทยที่สามารถช่วยลดมลพิษได้
ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AE%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2_%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94